วันหยุดเมืองอาหรับ
แทบจะทุกประเทศอาหรับ ทำงานสไตล์เดียวกันหมด เปิด 7-11.30 สวดมนต์ เข้านอน ยาวๆๆๆๆไปจนถึง 4.30- 8pm เปิดทำงานอีกที วันศุกร์-เสาร์ ปิด เฮ้อ เซ็งๆๆจะติดต่อการงานอะไรก็ลำบาก พอมีวันหยุดประจำปี บริษัท ห้างร้าน ก็พากันปิดๆๆอีก แบบว่า ประเทศเขานี่ไม่คิดเรื่อง กำไร ในการทำมาหากิน วันก่อน เราได้ไปซื้อของที่ซุปเปอร์ฯ ใกล้ 11.45pm ก็มีพนักงานมาเรียกเราว่า มาดามๆๆ แล้วชี้ไปทางนาฬืกา ไอ้เราก็เข้าใจว่าอยากให้เราซื้อนาฬิกาอะไรปานนั้น ก็เลยบอกไปว่า noๆๆๆๆ สักพัก พี่แกก็มาแตะไหล่อีก คราวนี้เขาก็ชี้ที่นาฬิกา แล้วบอกว่าจะปิดร้านไปสวดมนต์ เออๆๆเอาเข้าไป ของที่เราซื้อยังไม่ได้จ่ายเงินยังอยู่ในรถเข็ญ พนักงานที่ร้านบอกว่าไม่เป้นไรเอาไว้ที่ในซุปเปอร์ก่อน และให้เรากับมาชอปปิ้งต่ออีก ครึ่งชั่วโมงถัดไป เฮ้อ พูดไม่ออก เราก็ขับรถกลับบ้าน อีก ครึ่งชั่วโมงให้หลังเราก็กลับมาที่ซุปเปอร์อีกที อ้าวเป็นเรื่อง เราก็ได้แต่ส่องลอดกระจกตรงด้านหน้าพยายามหา รถเข็ญที่เราซื้อของคาทิ้งไว้ แต่เป็นอันว่าพี่แกเอาไปวางปะปนกันไปหมดรวมกับของคนอื่นๆ พอมีคนมาเปิดกุญแจทางเข้าซุปเปอร์ฯ คิดแล้วก็ทั้งขำ ทั้งโมโห โอ้แม่เจ้า อย่างกับว่า วิ่งมาราธอน คนเกือบเป็นร้อยพากันพุ่งเข้าร้านเพื่อไปหารถเข็ญของตัวเองที่ซอปปิ้งคาทิ้งไว้ แต่ที่ทนสุดทนก็น่าจะเป็นกลิ่นตัวของแต่ละคนนะ ทั้งอินเดีย มาเล อินโด ศรีลังกา ปากีสถานและพวกอาหรับ บวกกับน้ำหอมของแต่ละคน บอกได้คำเดียว อึ้ง ทึ่ง มึน กิมกี่''''จร้าๆๆๆๆ
อาหรับแยกหญิงชาย แล้ว คนที่มีครอบครัวล่ะทำไง?
วันก่อนเราได้ไปสแกนลายมือในเมืองเพื่อที่จะทำบัตรประชาชนของประเทศอาหรับประเทศหนึ่ง พอดีเราไปกับเพื่อนๆหลายคน พอดีเพื่อนคนหนึ่งก็บ่นขึ้นมาว่า ลูกชายเขาแค่ 7ขวบ จะให้แยกไป สแกนลายนิ้วมืออีกตึกหนึ่งไม่ใช่ตึกนี้เฉพาะผู้หญิง เพราะลูกของเขาเป็นเด็กผู็ชาย เพื่อนฝรั่งคนนั้นก็ตอบว่า ลูกเด็กผู้ชายแตาแค่7ขวบ มาพร้อมกับแม่ทำไมไม่ให้ทำที่เดียวกันไปเลย บัตรคิวก็กดมาแล้ว พนักงานใน ออฟฟิศตึกผู้หญฺิงก็ตอบว่า no no no อย่างเดียวแบบไม่แคร์ สุดท้าย ก็ต้องน่ะ ทำตามมันอยู่ดี แม่ของเด็กคนนั้นก็ต้องสแกนลายนิ้วมือตัวเองที่ตึกผู้หญิงก่อน ใช้เวลาในการ ทำเรื่องขอคิว กว่าจะเสร็จ ชั่วโมงกว่า และก็ต้องข้ามตึกไปอึกฝั่งถนนเพื่อพาลูกชายวัย 7 ขวบไปพิมม์นิ้วมือ ก็ต้องเสียเวลาทำบัตรคิวอีกฝั่งของตึกผู้ชาย อีก1ชั่วโมงกว่า คิดแล้วก็แค้นใจแทน เพราะเราก็อยู่ในเหตุการณ์ มันเสียเวลามากๆๆ เด็กก็น่าจะเป็นเด็ก จะเอาอะไรนักหนา มาแยกหญิงชาย และที่สำคัญ เด็กอายุแค่นี้จะให้ข้มถนนไปกรอกทำเอกสารอะไรเองได้ คิดกฎเกณฑ์อะไรมาได้ยังไง อาหรับ ONLY จริงๆๆ
ร้านAlcohol
วันก่อนได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนร้านขายเหล้าที่โดฮา อยากจะบอกว่าเรื่องมากๆๆๆๆสุดๆๆๆ และก็มีแค่ร้านเดียวเล็กๆที่ขายให้คนทั้งประเทศ ดูๆแล้วคงกว้างเท่าๆกับ 7-11 บ้านเรา ใครที่อยากจะซื้อเหล้า ต้องไปสมัคร member ก่อน ค่าสมัครก็แค่ 10000 บาท ลูกเด็กเล็กแดงห้ามเข้า ไม่มีบัตรประชาชนของประเทศ การ์ต้า ห้ามเข้า! มีแค่ วีซ่า ท่องเที่ยว ห้ามเข้า! สมัคร member แล้วเข้าไปในร้านเหล้าได้ ไม่เกิน2คน และต้อง เป็นคนในครอบครัว ที่กรอกไว้ในบัตรสมาชิกเท่านั้น.. เป็นแค่เพื่อน กัน ห้ามเช้า! กระเป๋าใบใหญ่ อุปกรณ์มือถือกล้องถ่ายรูป ห้ามเข้า! เชื่อเขาเลยประเทศนี้ ต่อมา เราได้ยืนอยู่หน้าร้าน ก็มีผู็ชายอาหรับหรือเปล่าไม่รู้ ตัวขาวๆๆใหญ่ มาโวยวายกับ ยาม หน้าทางเข้าร้านบอกว่า เขาต้องการซื้อเหล้า ทำไมเข้าไปไม่ได้ ขวดเหล้าก็อยู่แค่ตรงหน้าแล้ว แค่เข้าไปหยิบแล้วจ่ายเงิน เงินเขามีในกระเป๋าเยอะแยะ ทำไม่ไม่ให้ซื้อ ยามที่ยื่นหน้าประตูพากันออกมาดู 4-5 แล้วบอกว่า no no no member only ผู้ชายคนนั้นบอก ไม่เอา member ไม่ทำ เพราะไม่ได้อยู่ประเทศนี้ เถียงกันเป็นนานสองนาน เรียกผู้จัดการมา ก็ไม่มีใครออกมา ตกลงผู้ชายคนนั้นต้องโวยวายจนต้องเหนื่อยกับบ้านไปเองโดยที่ไม่มีใครสนใจ นี่ถ้าคนจะลงแดงตายชักกระแด่วๆๆมันจะให้เข้าไปซื้อกินไหมเนี่ย...งงงง
สระว่ายน้ำ & ฟิตเนส ก็ยังมีแยก หญิงชาย โอ้แม่เจ้า เด็กห้ามเข้า ถ้าเป็นครอบครัวละก็คิดหนักเลยเพราะพ่อและแม่ต้องไปคนละตึก อ้าว แล้วทีนี้ลูกๆจะเอาทิ้งไว้ที่ไหน?// ไม่ต้องคิดมาก ก็อดเล่นทั้งครอบครัว เด้อค่ะ
คราวก่อนมีครอบครัวเพื่อนบ้านมาเล่าให้ฟังว่า เมื่ออาทิตย์ก่อน เขาได้มีญาติๆจากอังกฤษมาเที่ยวหาที่โดฮา และเขาก็ได้พาญาติ ครอบครัวและลูกๆๆขับรถเข้าเมืองเกือบ 2 ชั่วโมงเพื่อที่จะพาญาติๆๆจากอังกฤษและลูกๆเข้าไปเที่ยว สวนสัตว์และพิพิฐภัณฑ์ ตกลงต้องกินแห้วถาดญ่ายๆๆๆกัน เพราะดันไปเจอยามที่เฝ้าทางเข้าสวนสัตว์และพิพิธภัณย์บอกว่า วันนี้เป็นวันของผู้หญิงอย่างเดียว ผู้ชายห้ามเข้า! เออ ตลึง มากๆตอนที่เขาเล่าให้ฟัง ตกลงเขาก็ทะเลาะเรื่องเสียเวลาและเรื่องกฎบ้าๆๆนี่กันพักใหญ่ แต่ กฎ ก็ต้องเป็นกฏ (อยู่ประเทศเขานะ ต้องทำใจ) และเขาคนนั้นก็บอกเรามาว่าถ้าเราจะไปเที่ยวที่ไหนก็ตามในเมืองโดฮา จะดีที่สุดให้โทรถามสถานที่นั้นๆๆก่อน ว่าวันที่จะไปเที่ยวนั้นจะตรงกับวันผู้ชาย หรือผู้หญิง หรือครอบครัว แบบ กัน พลาดท่า เสีย เวลา แบบ เขา
เอ?????เรื่มสงสัย แล้วมีวันของกะเทยไหมเนี่ยฮิๆๆๆ
เข้ามาเรื่องของสุราเมรัยนิดๆๆ
พอดีมีเพื่อนข้างบ้าน อีกแล้ว (แบบว่าเรื่องเล่าจากเพื่อนข้างบ้านเยอะ) ฮิๆๆๆ เขาเป็นคน ฟิลิปินล์ เขาเล่าว่า คราวก่อนเขาได้จองโรงแรม 5 ดาวอยู่ กลางคืนก็เกิดความคึกอยากเข้าไปดริ้งที่บาร์ของโรงแรม เขาเลยสวนสามีลงไปกินสุราเมรยะ สักแก้ว เขาก็สั่งเบียร์มากินสัก 2แก้ว แต่พอพนักงานเสริฟ ถามว่า จะสั่งเบียร์กินได้ต้องมีบัตรประชาชนของประเทศการ์ต้าก่อน ไม่งั้นไม่อนุญาติ ตกลงสามีของหล่อนก็บอกว่า เขามีบัตรประชาชนของประเทศกาตาร์แล้ว และ ภรรยา ยังไม่มี พนักงานเสริฟ ก็บอกว่า งั้นก็สั่งกินได้คนเดียว ภรรยา ก็อด กินไป ( และเพื่อนคนนั้นยังมีมาบอกเราว่า ตอนแรกเขากะจะให้สามีสั่งแล้วแอบกินแก้วเดียวกับสามี แต่ที่ไหนได้ ก็ได้แต่มองสามีกินอยู่คนเดียว เพราะ พี่ ยาม แกยื่นจ้องมอง ตา เขม่น ตลอดเวลา ไม่ยอมเดินไปไหนเลยจร้าๆๆ) มามะ มากินที่เมืองไทยดีกว่า ไม่ต้อง หลบๆๆซ่อนๆๆ ฮิๆๆๆๆ
ความมีน้ำใจ มีไหมค่ะ
บังเอิญเรื่องเกิดขึ้นตอนเช้าของ coffee morning วันหนึ่ง เรื่องก็ มีอยู่ว่า ลูกชายวัย3ขวบ ของเพื่อนคนอินโดนีเซีย ซึ่ง ดื้อเอาการ (ส่วนตัวแม่ของเด็กคนนี้ชอบพูดว่า ลูกตัวเอง very active นะ แต่ ส่วนตัวของผู้เขียนถ้าเป้นคนไทยเรียกว่า เด็ก ดื้อ ฮ่าๆๆ) เด็กคนนั้นก็เดินเล่นไปเล่นในห้องน้ำหญิง แล้วดันล๊อคประตูแล้วร้องไห้ติดอยู่ในห้องน้ำ พวกแม่ๆๆและเพื่อนๆๆทั้งหลายพากันเดินตามหา ยามอินเดีย ที่เฝ้าสถานที่ เผื่อว่ามีกุญแจ จะได้เอามาเปิด ยามก็เดินหน้าตาตกใจแล้วทำท่าเปิดประตู ดิฉันก็บอกไปว่าเปิดไม่ได้ลองแล้วถึงได้ไปตามคุณมาไง ต้องใช้กุญแจอย่างเดียว ยามอินเดียก็ส่ายหัวเป็นงู บอกว่า don't have keys อ้าวพูดมาได้ มันสร้างห้องน้ำมาได้ไง ไม่มีกุญแจห้องน้ำ (เพราะว่าประเทศ กาตาร์จะแยกห้องน้ำ หญิง - ชาย ซึ่งอยู่ห่างกันเป็น กิโลเมตร ส่วนห้องน้ำหญิงที่ประเทศอาหรับ ก็ทำกันซะแน่นหนา แบบ private สุดๆๆ แบบว่า ประตูแรก ก่อนเข้าห้องน้ำที่เป็นป้ายห้องน้ำหญิงติดอยู่ เข้ามาเจออีกประตูที่สอง และก็เข้ามาก็เจอห้องน้ำอีกหลายๆๆประตูแยกเป้นห้องๆๆอีก) ตกลงดิฉันก็บอกยามไปว่า โอเค ไม่มีกุญแจ งั้นช่วยปีนตรงช่องว่างที่กั้นแต่ละห้องให้หน่อยแล้วกันแล้วเข้าไปเปิดลูกปิดออกมา ยามอินเดียก็ตอบว่า no no no เพราะเป็นห้องน้ำผู้หญิง no no.... อ้าวมันยังไงกัน กุญแจไม่มี โอเคไม่เป็นไร ขอร้องปีนให้หน่อยเพราะคุณเป็นผู้ชาย ยังมาตอบ โน โน โน อีก เริ่ม มีน้ำโหแล้ว แล้วมึงนะเป็นผู้ชายไม่คิดจะช่วยเหรอ ตกลงยามคนนั้นก็เดินออกจากห้องน้ำแล้วเงียบหายไป เด็กชายวัย 3 ขวบก็ยังติดร้องให้อยู่ในห้องน้ำ แม่ของเด็กคนนั้นก็ทนฟังเสียงลูกร้องไม่ไหวแล้ว เธอเลยต้องพยายามปีนเข้าทางช่องลมเข้าช่วยลูกชายของเธอออกมาได้(ทั้งๆๆที่ตัวเธอหุ่นอ้วนใหญ่หนักประมาณ 70โลได้)
เพื่อลูกแม่ทำได้ ! ตกลงก็โล่งใจที่ช่วยลูกออกมาได้ซักที นี่ถ้าไม่มีช่องลมให้ปีนเข้าสงสัยพวกเราที่มีแต่ผู้หญิงต้องพังประตูเข้าไปเองและต้องเสียเงินค่าซ่อมประตูให้กับสถานที่ด้วยมั้งเนี่ย เพราะรู้สึกว่าคนประเทศนี้ไร้น้ำใจสุดๆๆ ก็เพราะเราเห้นว่าเขาเป็นผู้ชายเขาน่าจะช่วยผู้หญิงที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือแต่เป้นอันว่าเสียเวลาขอร้องเปล่าๆๆยังไงก็ต้องปีนหน้าต่างด้วยตัวเองอยู่ดี ไม่น่าเสียเวลา เสวนาด้วยเลยพวกนี้
ประสบการณ์ของรถมือ2
ดิฉันมีงบอยูในมือ 4 แสนบาทและได้ตะเวนเข้าบริษัทขายรถ toyota พนักงานมีทั้ง ฟิลิปินส์ ปาเลสไตน์ อินเดีย และคนประเทศกาตาร์ ตอนแรกพนักงานขายก็แห่มา say hollo แต่พอเราบอกว่า ต้องการซื้อ used cars เท่านั้นแหละ รอยยิ้มของพนักงานขายก็หุบทันที ต่างคนต่างเดินกลับไปนั่งที่เก้ากี้ดื่มน้ำชาเพลินๆๆบางคนก็กดอินเตอร์เล่นและปล่อยให้เรายืนเป้นบ้า และเราต้องเดินเข้าไปถามพวกพนักงานขายอีกรอบว่า ที่บริษัทคุณมี used cars ขายไหม ที่นี้ก็มีพนักงานคนปาเลสไตน์บอกว่า งบเท่าไหร่ เราบอกว่า 5 แสนไม่เกินนี้ (สำหรับเราเราว่าเยอะนะ5แสน สำหรับรถมือสอง) เขาก็ตอบว่ามี พาไปดู อยู่หลังบริษัทรถจอดอยูฝุ่นกลบซะนึกว่าเป็นรถที่พวกเขาจะเอาไปทิ้ง) เขาให้ดูรถแค่แป็บเดียวไม่ให้ลองเปิดกุญแจหรือเช็ครถเลยแล้วก็บอกว่าถ้าต้องการซื้อเดียวเคลียร์ให้3วัน
ก็โอเค เร็วดี แต่พอเราถามเรื่องปัญหาของรถ ว่า เคยชน หรือว่ามีปัญหาเรื่องเครื่อง และปีอะไร ขอดูสมุดแคนี้แหละ พนักงานขายก็ว่าเราเรื่องมากกับอีแค่รถมือสอง แล้วพนักงานขายก็ตอบว่าเดียวจะติดต่อกลับทีหลัง หารายละเอียดก่อน พอเรารอ 2 อาทิตย์เราก็โทรไปหาว่าตกลงรายละเอียดเป็นไง พี่แกก็บอกว่าจะโทรกลับและปิดโทรศัพท์ตัดสายไปเลย จวบจนวันนี้ก็ยังไม่มีวี่แวว
ไปที่ nissan ก็ถามเราแบบเดิม งบเท่าไหร่ 4 แสน โอเค ได้แค่ นิสสัน ซันนี่ รุ่นธรรมดา ปี 2007 (เราว่าแพงนะเนี่ย) หรือไม่งั้นก็เอา นิสสัน นาทิว่า ปี 2001 สามแสนห้า (เก่าไปไหมไม่อยากซื้อมาซ่อม) พอเราเริ่มถามรายละเอียดพี่แกเริ่มวิ่งไปหาลูกค้าที่เขาเข้ามาดูรถมือใหม่ๆๆแทนเราซะอย่างงั้น
ไปที่ mitshubishi อันนี้ยิ่งกว่า มองเราตั้งแต่หัวจดเท้า แล้ว บอกว่า used cars มี แต่ไปดูเองอยู่ด้านนอกจอดกลางแดดเปรี้ยงๆๆ(แดดที่นี่ 40 องศา) เราเลยไม่เดินต่อในเมือให้เราเดินไปดูเองแล้วเราจะถามรายละเอียดรถตรงนั้นได้ไง แปลว่าขี้เกียจไม่อยากขาย
ที่นี้เปลี่ยนไปร้านเต้นขายรถมือสอง พนักงานขายชี้นิ้วให้เราเดินไปดูเองจอดอยู่อีก 500เมตร ราคาประมาณ 4 แสน อยู่แค่ตรงโน้นมีไม่กี่คัน แล้วพี่แกก็เดินหนีไป
จากวันนั้นจนถึงวันนี้เข้า3เดือน เราก็ยังไม่ได้ซื้อรถเลย เพราะบริการแต่ละที่ทำเราโมโหและปวดหัวสุดๆๆมีเงิน 4 แสน ประเทศนี้เขามองเราเป็นคนจน
เราเคยเล่าให้เพื่อนๆฝรั่งที่เขาอยู่ที่นี่มาก่อนเขาบอกว่าเขามีประสบการณ์เหมือนกันที่กว่าจะได้รถสักคันต้องเหมือนกับไปขอร้องซื้อรถมือสองจากเขาทั้งๆที่เราเป็นคนเอาเงินไปให้เขาแท้ๆๆแต่เหมือนกับไปขอบริจาครถมือสองฟรีๆๆ ก็เพราะว่าคนที่ประเทศอาหรับเขารวยๆๆกันครอบครัวใหญ่รถมือสองเขาไม่เห้ฯอยู่ในสายตาเขาซื้อรถกันทีต้องหรูหราใหญ่โตราคาซื้อกันต้อง1-2-3ล้านขึ้นไป เขาชอบซื้อขายรถมือใหม่กันถ้าเป้นรถมือสองต้องราคา 6-7 แสนขึ้นไป เขาถึงต้อนรับอย่างดี ต้องทำใจ...
ไม่น่าเชื่อเลย...เพราะเมื่อก่อนเราเคยเข้าเต้นรถมือสองที่เมืองไทยรถเก่า10ปี ราคาแค่1แสนต้นๆๆบริการร้านรถที่ประเทศไทยเขาบริการเราอย่างดีไม่มีมามองแยกแยะว่ามีเงินแค่นี้หรือแค่รถมือสอง..
อีกประสบการณ์หนึ่งที่ต้องเรียนรู้ค่ะ
No comments:
Post a Comment